Friday, August 2, 2013

การแต่งตาเพื่อแก้ไขรูปตาในแบบต่างๆ ตอนที่ 2

จากเทคนิคการแต่งตาให้ดูยาวขึ้นคราวที่แล้ว ครั้งนี้มาต่อกันด้วยการแต่งตาเพื่อแก้ไขรูปตาแบบที่สอง คือ เทคนิคการแต่งตาแก้ไขให้รูปดวงตาดูโตขึ้น สำหรับคนที่มีรูปตาเล็ก โมจะพูดถึง 2 วิธี ดังต่อไปนี้ค่ะ



สองสาวต่างมีตาที่เรียกว่า Hooded eyelids ทั้งคู่ แต่แต่ละคนใช้เทคนิควิธีการแต่งตาแตกต่างกัน Jennifer (รูปซ้าย) จะใข้ (1) วิธีการสโม้กกี้ให้ตาดูลึกและโตขึ้น ส่วน Blake (รูปขวา) จะใช้ (2) วิธีการติดขนตาปลอมทั้งบนและล่าง และการไฮไล้ท์ตรงบริเวณหัวตาเพื่อให้ดวงตาดูเปิดและโตขึ้น 


รูปตาคล้ายกันแต่มีโครงหน้าและคาแรคเตอร์ที่ต่างกันก็มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้การแต่งหน้าออกมาต่างสไตล์กัน ซึ่งจะบ่งบอกความมีเอกลักษณ์และความเป็นตัวของตัวเองในแต่ละบุคคลได้



จากรูปข้างบน ด้านซ้ายแต่งตาม Jennifer ด้านขวาแต่งตาม Blake 

วิธีการสโมกกี้เพื่อให้ตาดูลึกและโตขึ้น การแต่งตาแนวนี้เป็นที่นิยมมาก ไม่ว่าจะเป็นสาวตาเล็กหรือตาโตก็ชอบการแต่งแบบสโมกกี้ ขั้นตอนก็ไม่ยาก สาวๆ หลายคนคงทราบกันอยู่แล้ว เอ๊ะ .. แล้วโมจะทำฮาวทูทำไมล่ะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ หลักการคือ เน้นการเบลนด์สีไปในแนวตั้งดังนี้ค่ะ





วิธีคือ เวลาเบลนด์ให้ใช้แปรงเบลนด์จากหัวตามากลางตา และจากหางตาเข้ามากลางตา 




1. ลงอายชาโดว์เนื้อครีมสีน้ำตาลให้ทั่วเบ้าตา
2. ลง pencil eyeliner สีดำจากขอบตาถึงรอยพับตา แล้วเบลนด์ให้สม่ำเสมอ
3. ใช้แปรงแตะอายชาโดว์สีดำ กดทับอีกที ให้เลยรอยพับตานิดหน่อย
4. ใช้แปรงแตะอายชาโดว์สีน้ำตาลอ่อนเบลนด์จากรอยอายชาโดว์สีดำขึ้นไป
5. เบลนด์ทุกอย่างให้เข้ากัน
6. เขียนคิ้ว และลงไฮไล้ท์ที่โหนกคิ้ว
7. เขียนอายไลเนอร์ โดยเน้นให้ความหนาอยู่ตรงกลางตา
8. ดัดขนตา ปัดขนตา โดยเน้นปัดตรงช่วงกลางตา
9. เขียนขอบตาล่าง
10. ใช้แปรงเกลี่ยอายไลเนอร์ให้สม่ำเสมอ และปัดขนตาล่าง
11. เขียนขอบตาด้านในด้วยดินสอสีครีม
12. Finished look



รูปซ้ายแสงธรรมชาติ รูปขวาแสงจากแฟลช


หมายเหตุ : ในขั้นตอนการปัดขนตา การติดขนตาปลอมแบบช่อช่วงกลางตาจะยิ่งช่วยทำให้ดวงตาดูกลมโตยิ่งขึ้น ดังรูปด้านล่างนี้ (จากรูปด้านล่างแต่งคนละวันกับ how to ภาพข้างบนค่ะ)




ข้อดีของการติดขนตาปลอมแบบช่อ คือ เราสามารถปรับแต่งให้ความยาวของขนตาอยู่ในช่วงที่เราต้องการ เช่น การแต่งตาให้ยาวเราก็จะติดขนตาช่อที่ยาวบริเวณหางตาเพื่อให้ตาดูยาวออกไป ในทำนองเดียวกัน การแต่งตาให้โตเราก็จะเน้นช่อที่ยาวบริเวณกลางตา นั่นเอง ข้อดีอีกข้อนึงคือ การติดขนตาแบบช่อจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าแบบแผง เพราะการติดขนตาปลอมแบบช่อสามารถติดแทรกตามแนวขนตาแนบไปกับขนตาจริง ทำให้ไม่เห็นขอบของขนตาปลอมเหมือนแบบแผง เป็นที่นิยมมากในเหล่าดารานางแบบทั้งอเมริกันและยุโรป โมเองเลือกที่จะติดขนตาปลอมแบบช่อในการแต่งหน้าเจ้าสาวค่ะ










Tuesday, July 23, 2013

การแต่งตาเพื่อแก้ไขรูปตาในแบบต่างๆ ตอนที่ 1

ก่อนที่จะพูดถึงวิธีการแต่งตาเพื่อแก้ไขรูปตาในแบบต่างๆ นั้น ขออธิบายถึงแสงเงา และการสร้างมิติอีกนิดหน่อยนะคะ





ยังจำภาพนี้กันได้ใช่มั้ยเอ่ย แสงและเงาทำให้ภาพนั้นเกิดมิติ มีการไล่จากสีอ่อน (Light) สีกลาง (Medium) และสีเข้ม (Dark) ดังนั้น การแต่งหน้าก็เหมือนกันค่ะ การไล่เฉดสีจากเข้มไปอ่อน จากอ่อนไปเข้ม ก็จะช่วยสร้างมิติตามจุดต่างๆ บนใบหน้าของเรา โดยเฉพาะเปลือกตา

ถ้าคนที่เคยดูคลิปต่างๆ จาก Make-up Artist ต่างประเทศ จะได้ยินคำว่า Light/Mid/Dark Tone อยู่บ่อยๆ เขาจะอ้างถึงสีเหล่านั้นที่เขาใช้ในการลงสีตา หรือแม้กระทั่ง Eye shadow palette ยี่ห้อต่างๆ ที่ทำออกมา ก็จะมีสามโทนหลักๆ นี้อยู่ในนั้นเสมอ ลองมาเปรียบเทียบกับรูปตาคนเรากันค่ะ (โมอ้างอิงจากหนังสือที่โมเรียน ตาลักษณะในรูปเป็นตาแบบมีเบ้าลึก แบบสาวๆ ตะวันตกนะคะ)





จุดต่างๆ ที่เขียนไว้ในภาพตาด้านบน คือลักษณะที่แสงจากด้านบนตกมากระทบ และเป็นส่วนที่จะลงสี Light/Medium/Dark ในการแต่งตาแบบธรรมชาติค่ะ


การแต่งตาเพื่อแก้ไขรูปตาที่โมจะพูดถึงมีทั้งหมด 4 แบบหลักๆ ด้วยกัน ซึ่งเราสามารถประยุกต์ใช้ ผสมผสานหลายๆ แบบเข้าด้วยกันได้ตามลักษณะของรูปตาที่เราต้องการจะแต่ง

1. การแต่งตาให้ดูยาวขึ้น 
2. การแต่งตาให้ดูยกสูงขึ้น หรือเชิดขึ้น
3. การแต่งตาให้ดูโตขึ้น
4. การแต่งตาเพื่อแก้ไขรูปตาชิดหรือห่างเกินไป



1. การแต่งตาให้ดูยาวขึ้น

การแต่งตาในลักษณะนี้เป็นการแก้ไขรูปตาเล็กกลมให้ดูยาวขึ้น หรือแม้กระทั่งคนที่มีรูปตาเรียวยาวอยู่แล้ว อย่าที่เรียกว่าตาเมล็ดอัลมอนด์ก็ชอบที่จะแต่งตาในลักษณะนี้ เพื่อเน้นให้เห็นตาที่ได้รูปชัดเจนขึ้นไปอีก การแต่งตาให้ดูยาวขึ้นนั้นอาศัยหลักการขยายออกทางแนวนอน ทั้งการกรีดอายไลเนอร์ การเบลนด์สีอายชาโดว์ในแนวนอน และการติดขนตาปลอม

การแต่งตาให้ดูยาวขึ้นมีหลายเทคนิค ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะรูปตาของแต่ละคนด้วย ลักษณะตามีเบ้าลึกอย่างสาวตะวันตกนั้น โมหานางแบบมาทำ how to ให้ดูไม่ได้นะคะ ขอนำรูปจากในหนังสือที่โมเรียนมาอธิบายแทนค่ะ

สาวตะวันตกจะมีพื้นหนังตาช่วงขอบตาบนจนถึงรอยพับค่อนข้างเยอะ ดังนั้น การแต่งตาจึงแตกต่างกับสาวทางเอเชียอย่างเรา มาดูกันว่าวิธีแต่งตาให้ดูยาวขึ้นสำหรับสาวตะวันตกเป็นอย่างไร



เริ่มจากการเขียนขอบตา จะเขียนขอบตารอบๆ ทั้งหมด ส่วนหางตาเขียนเลยยาวออกไป เปลือกตาจะใช้ดินสอหรืออายชาโดว์ เขียนให้ตำกว่ารอยพับเปลือกตาลงมาเพื่อทำให้พื้นที่ส่วนนั้นดูแคบลง เบลนด์สีให้ฟุ้งออกในแนวนอน ส่วนคิ้วจะเน้นเขียนให้ต่ำลงกว่าปกติ ในจุดที่เป็นจุดสูงสุดของคิ้ว และหางคิ้วยาวออกไปให้เท่ากับสีที่เราเบลนด์ออกไปทางด้านหางตา



ภาพรวมจากตาปกติ เทียบกับเมื่อใช้เทคนิคการแต่งตาให้ดูยาวขึ้น




มาดูในส่วนของการแต่งตาของสาวเอเชียกันบ้างดีกว่า ขอใช้ตัวอย่างรูปตาของสาวเอมม่าเป็นตัวอย่างนะคะ เห็นชัดเจนดี



สไตล์การแต่งหน้าของสาวเอมม่า ค่อนข้างจะเน้นรูปตาที่เรียวยาวของเธอที่มีอยู่แล้วให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สังเกตุว่าจะเน้นการกรีดอายไลเนอร์ตั้งแต่หัวตาและเขียนให้ยาวเลยหางตาออกไป การเบลนด์สีอายชาโดว์ให้ยาวออกไปทางหางตามากกว่าจะเบลนด์ให้ฟุ้งขึ้นไปข้างบน 

เทคนิคการแต่งตาในลักษณะนี้เป็นที่นิยมกันมาก เพราะทำให้ตาเรียวยาว ดูเซ็กซี่ (รึป่าว) 

วิธีการมีดังต่อไปนี้ค่ะ


1. เริ่มจากตาโล่งๆ หลังลงรองพื้นและปกปิดริ้วรอยต่างๆ เรียบร้อยแล้ว
2. ใช้ดินสอเขียนขอบตาสีน้ำตาลวาดเส้นเลยออกไปทางหางตาทั้งบนและล่าง
3. เขียนขอบตาทั้งหมดรวมถึงขอบตาด้านหัวตาด้วยค่ะ (โมตาเล็กและไม่ค่อยมีพื้นที่ด้านหัวตามากเท่าไหร่ เลยจะไม่ค่อยเห็นนะคะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ)
4. ใช้แปรงหัวแบนหรือแปรงหัวตัดแตะอายชาโดว์สีดำค่อยๆ กดทับรอยอายไลเนอร์ที่เราลงไว้แต่แรก

เทคนิคการเขียนอายไลเนอร์ทั้งหัวตาและหางตาลากเลยออกไปแบบนี้เป็นที่นิยมมากในการแต่งตาแบบสาวอาหรับ เพราะสาวอาหรับตากลมโต ซึ่งจะช่วยให้ตาดูเรียวยาวมากขึ้น 







5. ใช้แปรงหัวแบน หรือแปรงหัวดินสอเบลนด์สีให้ฟุ้งออกไปในแนวนอนทั้งขอบตาบนและขอบตาล่าง
6. ใช้แปรงแตะสีน้ำตาลเข้มปานกลางค่อยๆ ลงบริเวณขอบสีดำที่เราเบลนด์ไว้แต่แรก ในที่นี้โมใช้สีน้ำตาลเข้มปานกลางเป็น Mid tone ค่ะ
7. เขียนคิ้วในลักษณะเน้นไปทางแนวนอน ไม่โก่งมาก จะเป็นการบีบให้ตาเราดูยาวขึ้นไปอีกค่ะ
8. หางคิ้ว ความยาวจะไปจบตรงที่ความยาวของชาโดว์ที่เราลงไว้ เพื่อให้สมดุลกัน นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่างแต่งหน้าส่วนใหญ่มักจะแต่งตาก่อนเขียนคิ้วค่ะ




9. ลง Highlight ใต้คิ้วและเบลนด์ลงมาให้บรรจบกับสีน้ำตาลที่เราเบลนด์ไว้ โดย Highlight โมใช้อายชาโดว์สีเนื้อ+สีขาว ในที่นี้โมให้เป็นสี Light tone ค่ะ
10. ติดขนตาปลอม โดยใช้ขนตาปลอมที่มีช่วงหางตาที่ยาวเป็นพิเศษ หรือติดแบบช่อ โดยเน้นแต่ช่วงบริเวณหางตาให้ยาวออกไป
11. ใช้เจลหรือลิควิดอายไลเนอร์เก็บรายละเอียดโคนขนตาอีกรอบ
12. ภาพอีกมุมให้เห็นตาด้านที่ไม่ได้แต่งค่ะ





Finished look ค่ะ 

โดยรวมคือ จะบีบตาให้ดูเล็กและยาวขึ้นค่ะ 

ภาพไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ต้องขออภัยด้วยนะคะ มือใหม่กับการทำ how to มากๆ อีกทั้งเป็นคนแต่งหน้าตัวเองไม่สวยค่ะ ชอบและถนัดแต่งหน้าคนอื่นเสียมากกว่า - -*



บังเอิญว่าวันก่อนแต่งหน้าแล้วเอารูปขึ้น FB มีคนถามขอ How to มา โมเห็นว่ามันเข้ากับเรื่องนี้พอดี เลยเอามาฝากกันค่ะ ^ ^




How to เฉพาะการแต่งตานะคะ




1. เกลี่ยอายชาโดว์เนื้อมูส หรือเนื้อครีมก็ได้ค่ะ ให้ทั่วเบ้าตา
2. ลง Highlight เนื้อครีมบริเวณโหนกคิ้ว และหางตาเพื่อเป็นแนวทางในการเบลนด์ บางคนอาจจะใช้เทปกาวแปะแทนก็ได้ค่ะ 
3. เบลนด์อายชาโดว์สีสมพู Fucsia แนวขอบของสีม่วงที่เราลงไว้ เบลนด์ให้เข้ากัน
4. เขียนขอบตาทั้งบนและล่างด้วยดินสอเนื้อครีมสีดำ
5. เกลี่ยอายไลเนอร์เนื้อครีมและใช้แปรงแตะอายชาโดว์สีดำ กดทับลงไปอีกที
6. ปัด Highlight ด้วยอายชาโดว์เนื้อชิมเมอร์บริเวรณโหนกคิ้ว
7. กรีดเจลอายไลเนอร์รอบขอบตาทั้งบนและล่าง
8. เขียนคิ้ว โดยระยะหางคิ้วให้สมดุลกับแนวอายชาโดว์
9. วาดอายไลเนอร์ที่หัวตา

หลังจากนั้น กรีดอายไลเนอร์เนื้อครีมสีขาวหรือสีครีมที่ขอบตาด้านใน ดัดขนตา ติดขนตาปลอม แล้วก็ปัดมาสคาร่าค่ะ 








ขอบคุณที่ติดตามชมนะคะ ^ ^


Wednesday, July 10, 2013

การแต่งหน้าถ่ายรูปภาพขาวดำ

เคยเห็นคำถาม และการบ่นเรื่อง การถ่ายรูปในพาสปอร์ต .. แต่งไปก็ไม่เห็น แต่งไปก็เท่านั้น ฯลฯ อ่ะๆ เดี๋ยวก่อน การถ่ายภาพขาว-ดำ การแต่งหน้านั้นก็สำคัญ และสามารถมองเห็นได้ค่ะ ยังไงน่ะเหรอ มาดูๆๆ

จากเรื่องที่แล้วเราได้พูดถึงการเฉดดิ้งไป โมได้อ้างถึงเทคนิคการเฉดดิ้งในการถ่ายรูปภาพขาวดำ ซึ่งใช้กันมากในสมัยก่อนที่ทั้งการถ่ายภาพ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ยังเป็นภาพขาวดำอยู่ แต่เราจะสังเกตุเห็นได้ว่านักแสดงนั้นแต่งหน้า เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะเทคนิคเฉดดิ้งและการเล่นกับโทนสีนั่นเอง


จากรูป วงล้อสี



จากภาพแรกที่เป็นสี เมื่อเปลี่ยนเป็นขาวดำ เฉดของสีก็จะเปลี่ยนไป เราใช้หลักการนี้ในการแต่งหน้าเพื่อถ่ายรูปขาวดำค่ะ สีที่ใกล้กับสีขาวมากเท่าไหร่ เมื่อเปลี่ยนเป็นภาพขาวดำแล้ว ก็จะเห็นสีอ่อนลงเท่านั้น

ปัจจุบัน การถ่ายภาพสีขาวดำก็ยังเป็นที่นิยมกันอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้เทคนิคในลักษณะนี้ในการถ่ายภาพ ซึ่งเราสามารถประยุกต์ใช้ในการแต่งหน้าเพื่อไปถ่ายรูปในพาสปอร์ตได้นั่นเอง เฮ่!



ตัวอย่างสีลิปสติก




จะเห็นว่า สียิ่งเฉดเข้มมากเท่าไหร่ ความเข้มดำของสีในภาพขาวดำก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น






ก่อนจะเดินทางกันต่อ โมขอแทรกเกี่ยวกับ Corrector ที่โมลืมพูดถึงตั้งแต่กระทู้ Corrector กันนิดนึง  เราจะทราบหรือดูออกได้อย่างไรว่า Concealer หรือ Corrector ตัวไหนโทนสีส้มเหมาะสำหรับใช้ในการการปกปิดรอยคล้ำใต้ตา วิธีคือ เอา Concealer ที่ปกติเราใช้ปิดรอยแดงรอยสิวไปเทียบได้ค่ะ เพราะเราจะเห็นความแตกต่างชัดของสีได้มากขึ้นนั่นเอง




เปรียบเทียบสีให้เห็นชัดๆ อีกทีนึง โทนจะไม่เหมือนกันถ้าสังเกตุดีๆ นะคะ



มาเข้าเรื่องกันต่อ ต่อไปนี้เป็นรูปที่ค่อยๆ เติมแต่งหน้าทางด้านขวาของหน้าโมในแต่ละรูป ตั้งแต่รองพื้น, corrector, highlight, shading, แล้วก็ make-up ค่ะ วันนี้ติดขนตาปลอมด้วย มาดูความแตกต่างเป็นลำดับๆ ละกันเน้าะ



จากซ้ายไปขวา หน้าโล้นๆ ต่อมาลงรองพื้น และ สุดท้ายเก็บรายละเอียดด้วย corrector ค่ะ




ลง highlight, shading แล้วก็เขียนคิ้ว ปัดแก้ม แต่งตา




ดัดและปัดขนตา ติดขนตาปลอมแล้วก็ทาปากค่ะ




ลง highlight แนวขอบปากด้านบน จากนั้นปัดแป้ง เก็บรายละเอียดที่เหลือค่ะ




สำเร็จ พอจะเห็นความแตกต่างบ้างมั้ยเอ่ย 

มาดูรูปสีกันว่าโมใช้สีอะไรแบบไหนกันบ้างนะคะ













ถามว่าแต่งหนามั้ย ปานกลางค่อนข้างหนาค่ะ เพราะแต่งหน้าถ่ายรูปประมาณนี้ หน้าต้องแน่น
ยิ่งถ้าเป็นการถ่ายรูปในสตูดิโอที่ใช้แสงจากดวงไฟแล้ว ยิ่งต้องแน่น ปิดให้หมด
ไม่ควรจะให้มีความมัน หรือ Shiny บนใบหน้าเลยโดยเฉพาะหน้าผาก
เพราะจะสะท้อนแสงแฟลชอย่างแรง ช่างภาพไม่โอเค ณ จุดๆ นี้

ในการแต่งหน้าเพื่อถ่ายรูปขาว-ดำ จริงๆ แล้ว จะลงเฉดดิ้งหนักกว่านี้มากค่ะ เพื่อให้เห็นมิติของใบหน้าชัดเจนจริงๆ แต่กรณีด้านบน เราแต่งไปแค่ถ่ายรูปขาว-ดำ ในพาสปอร์ตเฉยๆ ไม่ต้องมากขนาดนั้นก็ได้เน้าะ เดี๋ยวผู้คนจะแตกตื่น ^ ^* เอาแค่เฉดพอเห็นเป็นเงาๆ ระเรื่อลางๆ ก็พอแล้ว 
ที่โมให้ความสำคัญมากที่สุดคงจะเป็นปาก รูปปากชัด ถ่ายรูปขาว-ดำ ออกมาแล้วจะสวยมากค่ะ


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เช่นเคย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ











Tuesday, July 9, 2013

Shading หรือ การแรเงา

ก่อนจะเข้าเรื่องการ Shading โมขออธิบายคร่าวๆ เรื่องของ Make up base ก่อนละกันนะคะ ตอนแรกกะจะเขียนหัวข้อเรื่องนี้ แต่คิดไปคิดมา หลายๆ คนคงเข้าใจเรื่อง Make up base หรือการลงรองพื้นและการใช้ Corrector และ Concealer กันเยอะแล้ว เลยคิดว่าไม่เขียนดีกว่าเน้อะ

ถามว่า เราควรจะลง corrector ก่อนหรือหลังการลงรองพื้นกันล่ะเนี่ย ขอตอบว่า แล้วแต่ความถนัดและสภาพผิวของนางแบบค่ะ ส่วนตัวโมเองจะดูว่าถ้าสภาพผิวของนางแบบดีอยู่แล้ว มีรอยที่ต้องปกปิดไม่มาก โมก็จะเลือกลงรองพื้นไปก่อน แล้วค่อยมาเก็บรายละเอียดกับ corrector ทีหลัง แต่ถ้านางแบบสภาพผิวมีรอยสิว รอยคล้ำใต้ตา รอยแดง รอยกระ รอยแผลเป็น จุดด่างดำขนาดใหญ่ มาก ก็จะเลือกลง corrector ก่อน แล้วค่อยลงรองพื้นทีหลัง เป็นต้น

ถามอีกว่า อ้าว.. แล้วในกรณีที่จะต้องลงพวก primer ล่ะ? อันนั้นแล้วแต่กรณีไปค่ะ เพราะในทุกครั้งก่อนลงมือแต่งหน้าให้นางแบบ เราต้องทราบสภาพอากาศ ณ ขณะนั้น รวมไปถึงเราจะต้องพูดคุยกับนางแบบก่อนว่า สภาพผิวเป็นอย่างไร ผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวผสม ผิวแพ้ง่าย (อันนี้นางแบบต้องบอกล่วงหน้า เพราะเราจะได้เตรียมเมคอัพสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ และต้องทราบด้วยว่าแพ้สารอะไร เป็นต้น) ผิวมันเราก็จะลง primer เพื่อเป็นการช่วยควบคุมความมันในระดับนึง แล้วจบการแต่งหน้าด้วย fixing spray เพื่อให้เครื่องสำอางติดทนนานยิ่งขึ้น ส่วนผิวแห้งนั้น การลง primer แทบจะไม่มีความจำเป็นเลย แต่หากผิวแห้งลอกต้องลง moisturizer หรือฉีด Thermal water spray ก่อน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้า เป็นต้น

เข้าเรื่อง Shading กันเลยดีกว่า Shading หรือการแรเงา เทคนิคการ Shading ไม่ใช่เพียงเป็นการเพิ่มมิติให้แกใบหน้าเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขรูปหน้าให้สมส่วนอีกด้วย



จากรูปจะเห็นว่ามีจุดกระทบแสง และจุดเงา เหมือนกันการแต่งหน้า บนใบหน้าเราก็จะมีจุดกระทบแสงและจุดที่เป็นเงาอยู่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดที่มาของแสง ในที่นี้เราจะกล่าวถึงแสงปกติที่จุดที่มาของแสงส่วนใหญ่จะมาจากด้านบน 


มาดูจุดที่แสงกระทบบนใบหน้ากันดีกว่า (ขอใช้หน้าตัวเองนะคะ ร่องรอยอารยธรรมเยอะมาก อายจัง T_T) จุดที่เป็นรูปดาวโดยส่วนใหญ่ของหลายๆ คนแล้วคือจุดที่แสงมากระทบค่ะ






ส่วนการเฉดดิ้ง คือ การเพิ่มเงาเข้าไป เพื่อให้จุดเราที่ Highlight นั้น ชัดเจนมากขึ้น ช่างแต่งหน้าหลายๆ ท่านจึงนิยมลง Highlight ก่อนแล้วค่อยเฉดดิ้งทีหลัง การเฉดดิ้งมีความสำคัญมากในการแต่งหน้าถ่ายรูป เพราะแสงส่วนใหญ่จะมาจากด้านหน้า ซึ่งทำให้การเกิดแสงเงาบนใบหน้าน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย โดยเฉพาะการถ่ายรูปภาพขาวดำ การเฉดดิ้งนี้มีมาตั้งแต่สมัยเริ่มต้นของการแต่งหน้าแล้ว นึกย้อนไปถึงภาพยนตร์ขาวดำ การถ่ายรูปภาพขาวดำ นำเทคนิคการเฉดดิ้งมาใช้แทบทั้งสิ้น แล้วโมจะหาเวลาแชร์เรื่องประวัติการแต่งหน้าและการแต่งหน้าในยุคต่างๆ นะคะ


โมใช้ Corrector เหล่านี้ในการปกปิดและเฉดดิ้งค่ะ เป็นยี่ห้อ Studio13 ของโรงเรียนที่โมเรียนค่ะ





หลักของการ Shading เราจะพูดถึงแนวตั้งและแนวนอน Shading แนวตั้งเพื่อให้หน้ายาวหรือเรียวขึ้น ส่วนใหญ่จะใช้เทคนี้กับสาวหน้ากลม แก้มเยอะ เป็นต้น Shading แนวนอนเพื่อให้หน้ากว้างขึ้น เทคนิคนี้ใช้กับสาวแก้มตอบ หน้ายาว คางแหลม เป็นต้น




จากรูป ด้านซ้ายคือ Shade แนวตั้ง ส่วนด้านขวาคือ Shade แนวนอนค่ะ โดยแนวตั้งโมจะวัดจากจุดบนของหูที่เชื่อมกับศีรษะกับมุมปาก หรือบางคนจะดูดแก้มเข้าไปก็ได้ค่ะ รอยเดียวกัน ที่โมใช้วิธีนั้นก็เพราะบางทีไปแต่งหน้าให้นางแบบแล้วให้นางแบบดูดแก้มเข้าไป นางก็จะเขินๆ อายๆ บางคนแอบหลับก็ไม่อยากจะรบกวน อิอิ 

ส่วน Shade แนวนอน โมจะวัดจากส่วนบนของหูที่เชื่อมติดกับศีรษะกับปลายจมูกค่ะ






มองในลักษณะตรง...


พอจะเห็นความแตกต่างบ้างไหมเอ่ย ?? หน้าเหลี่ยมเชียว - -*



มาต่อกันด้วย Shade ข้างจมูก การ Shade ข้างจมูกที่ดีนั้น ตรงทำให้จมูกดูตรงและเรียวค่ะ ซึ่งเทคนิคนี้สามารถใช้ในการแก้ไขรูปจมูกที่ผิดรูป ใหญ่ หรือคดงอได้ดังนี้





อีกจุดนึงคือ เบ้าตาค่ะ เบ้าตาอยู่ตรงไหน ใครหาไม่เจอ ลองวิธีนี้ดูค่ะ




จากรูปด้านขวาจะสังเกตุว่า โมเขียนคิ้วต่างกัน(มั้ย?) คือ ด้านที่ Shade แนวตั้งก็จะเขียนคิ้วให้เฉียงหรือโก่งขึ้นรับกับแนวตั้ง ส่วนด้านที่ Shade แนวนอนก็จะเขียนคิ้วโค้งต่ำลงเพื่อให้รับกับแนวนอน


อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ คือ อะไรต้องการเน้นต้องการให้ดูใหญ่ขึ้นก็ Highlight มันซะ อะไรอยากให้เรียวอยากให้เล็กลง ก็ Shading มันซะ ง่ายๆ เท่านี้เอง



Before and After


หวังว่าความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่โมแชร์ในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์กับสาวๆ บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ และหากมีคำแนะนำหรือติชม ก็ยินดีและเป็นพระคุณมากค่ะ












Tuesday, July 2, 2013

Eye Brow เรื่องคิ้วๆ

ว่ากันด้วยเรื่องของคิ้ว คิ้วถือว่ามีความสำคัญที่สุดในการแต่งหน้าก็ว่าได้ บางคนคิ้วงามแม่ให้มาแต่กำเนิดก็ถือว่าโชคดีไป แต่หลายๆ คนแม่ให้มาน้อยเหลือเกิน บางบ้างล่ะ ไม่เข้ารูปเข้ารอยบ้างล่ะ ไม่เข้ากับรูปหน้าบ้างล่ะ .. โชคดีที่โลกนี้ยังไม่โหดร้ายจนเกินไป ขอเชิดชูผู้ใดก็ตามที่ประดิษฐ์คิดค้นดินสอและอุปกรณ์เขียนคิ้วขึ้นมา เฮ่!

คิ้ว มีส่วนสำคัญในการปรับโครงหน้า พอๆ กับการ shading เลยทีเดียว คิ้วงามได้รูปและเข้ากับใบหน้า มีชัยในการแต่งหน้าไปกว่าครึ่งเลยนะจะบอกให้ ยังไงน่ะเหรอ มาดูกัน

โครงคิ้วประกอบไปด้วย




B-C ส่วนแนวเฉียงขึ้น
C-D ส่วนแนวเฉียงลง
h มุมเอียง หรือจุดหัก หรือจุดเฉียงลงของคิ้ว

จากรูป ส่วนหัวคิ้วถึงท้องคิ้ว a-c จะยาวเป็น 2 เท่าของส่วนหางคิ้ว




หัวคิ้ว (1) จะอยู่ตรงกลับปีกจมูกและหัวตา
จุดเฉียงลงของคิ้ว (3) จะอยู่ตรงปลายสุดของหางตา
หางคิ้ว (2) จะสิ้นสุดตรงเส้นลากจากปีกจมูกไปจนถึงปลายสุดของหางตา

ข้อสังเกตุ จุดหางคิ้ว (2) โดยทั่วไปไม่ควรจะอยู่ต่ำกว่า จุดหัวคิ้ว (1) เพราะจะทำให้ดูหางตาตก ตาดูเศร้า













บางคนอาจจะแย้งว่า อ้าว... จุดหักของคิ้ว ไม่ใช่เส้นลากจากปีกจมูกตัดกับกลางลูกนัยน์ตาเหรอ? ถ้าโดยปกติแล้วก็คือจุดเดียวกันค่ะ (ในรูปคือเส้นประ) แต่จะไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน นั่นก็คือ หากคนที่มีลูกนัยน์ตาไม่อยู่ตรงกลางตาล่ะ?? คนตาส่อน ตาเขล่ะ? ดังนั้น วิธีดังที่อธิบายข้างต้นจึงมีความแม่นยำมากกว่านั่นเอง


สามารถเขียนหัวคิ้วเลยเข้ามาเลยปีกจมูกและหัวได้ ในกรณีที่นางแบบมีตาห่างกันมาก ซึ่งจะช่วยให้ตาดูชิดกันมากขึ้น ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับคนเอเชียที่มีจมูกแบน การเขียนคิ้วชิดเข้ามาอีกนิดและเฉดสันจมูกเข้ามาให้ใกล้กันจะช่วยเพิ่มมิติให้กับช่วงจมูกมากขึ้น

สามารถเขียนหางคิ้วสูงกว่าหัวคิ้วได้ในกรณีที่นางแบบมีหางตาตก ขึ้นการเขียนคิ้วลักษณะนี้จะช่วยให้ดูหางตาเชิดขึ้นได้ หรือไม่ตกไปกว่าเดิม

จากในรูปจะเห็นว่าคิ้วด้านขวาจะสูงกว่าด้านซ้าย ความสูงของจุดหักของคิ้วนั้นก็สามารถช่วยปรับโครงหน้าได้เช่นกัน 


(ภาพจากอินเตอร์เนต)


นอกจากนี้ การเปลี่ยนลักษณะคิ้ว สามารถเปลี่ยนบุคลิก (Character) ของบุคคลได้ เทคนิคนี้ใช้กันมากในการแต่งหน้าการแสดงละคร ภาพยนตร์ และการวาดการ์ตูน เป็นต้น








มีคำถามอีกว่า จำเป็นต้องมีคิ้วแบบนี้ทุกคนเลยเหรอ ขอตอบว่า ไม่จำเป็นค่ะ ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลด้วย ในส่วนที่นำมาอธิบายตรงนี้เป็นเพียง Ideal eyebrow หรือจะเรียกว่าลักษณะที่สมส่วนก็ได้ค่ะ